การแบ่งสายงานโดยจำแนกตามเงื่อนไขแบบ switch-case
นอกเหนือจากการใช้ if-else ในการจำแนกกรณีตามเงื่อนไขแล้ว เรายังสามารถใช้โครงสร้างแบบ switch-case ได้ ตัวอย่างเช่น
switch ($day) { case 1 : echo “Monday<BR>\n”; break; case 2 : echo “Tuesday<BR>\n”; break; case 3 : echo “Wednesday<BR>\n”; break; case 4 : echo “Thurday<BR>\n”; break; case 5 : echo “Friday<BR>\n”; break; case 6: echo “Saturday<BR>\n”; break; case 7 : echo “Sunday<BR>\n”; break; default : echo “error<BR>\n”; } |
ถ้าตัวแปร $day มีค่าที่อยู่ระหว่าง 1 ถึง 7 ก็จะพิมพ์ชื่อวันเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าตัวแปรมีค่านอกเหนือจากนั้น ซึ่งในกรณีจะเป็น default ในโครงสร้างแบบ switch-case ก็จะพิมพ์คำว่า error เพื่อให้ผู้ใช้ทราบ
โปรดสังเกตว่า ในแต่ละกรณี จะต้องจบด้วยคำสั่ง break; ยกเว้นแต่ของ default ซึ่งจะมีหรือไม่ก็ได้ ถ้าเราไม่ได้ใส่คำสั่ง break; เอาไว้ โปรแกรมก็จะกระทำคำสั่งทุกคำสั่งในกรณีที่อยู่ถัดมา
การจำแนกกรณีไม่จำเป็นต้องอาศัยเฉพาะตัวแปรที่เก็บค่าจำนวนเต็มเท่านั้น ข้อมูลแบบอื่นก็ใช้ได้ เช่น ใช้ข้อความเป็นตัวจำแนกกรณี เช่น
switch ($answer) { case “yes” : echo “The user said ‘yes’.\n”; break; case “no” : echo “The user said ‘no’.\n”; break; default: echo “The user said neither ‘yes’ nor ‘no’.\n”; } |
โปรดสังเกตว่า การจำแนกโดยใช้ข้อความนี้ จะดูความแตกต่างระหว่างตัวพิมพ์เล็กหรือใหญ่ด้วย
ในบางครั้งเราอาจจะไม่จำเป็นต้องใส่ break; ก็ได้ ตัวอย่างเช่น
switch ($answer) { case “yes” : case “no” : echo “The user said ‘”,$answer,”‘.\n”; break; default: echo “The user said neither ‘yes’ nor ‘no’.\n”; } |