คณะกรรมการความปลอดภัยทางคมนาคมแห่งชาติ หรือ NTSB มีคำแนะนำให้ยานพาหนะใหม่ทั้งหมดในสหรัฐฯ มีระบบตรวจสอบระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ดื่มมากเกินไปขับรถในขณะมึนเมา
หากคำแนะนำดังกล่าวนี้ได้รับการอนุมัติโดยหน่วยงานบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติ หรือ NHTSA ก็อาจช่วยลดจำนวนอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ใหญ่ที่สุดของการเสียชีวิตบนทางหลวงในสหรัฐฯ ลงได้
NHTSA กล่าวว่า อัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนในสหรัฐฯ อยู่ในระดับวิกฤต เมื่อปีที่แล้ว มีผู้เสียชีวิตเกือบ 40,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในรอบ 16 ปี เนื่องจากชาวอเมริกันกลับมาใช้รถใช้ถนนกันอีกครั้งหลังจากที่ต้องกักตัวอยู่ที่บ้านในช่วงการเกิดโรคระบาดใหญ่
รายงานของ NHTSA ระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 11,654 คนในปี 2020 จากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ ตัวเลขดังกล่าวคิดเป็นอัตราส่วนประมาณ 30% ของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุการจราจรทั้งหมดในสหรัฐฯ
NTSB ซึ่งไม่มีอำนาจทางกฎหมายและต้องขอให้หน่วยงานอื่นดำเนินการได้เท่านั้น กล่าวว่า ข้อเสนอแนะดังกล่าวออกแบบมาเพื่อกดดัน NHTSA ให้ดำเนินการกับปัญหานี้ ซึ่งอาจจะมีผลบังคับใช่อย่างเร็วที่สุดคือสามปีนับจากนี้
Jennifer Homendy ประธาน NTSB หรือ คณะกรรมการความปลอดภัยทางคมนาคมแห่งชาติกล่าวว่า “เราต้องการให้ NHTSA พยายามหาทางรับมือกับปัญหานี้ เพราะจากตัวเลขของการเกิดอุบัติเหตุ จะต้องแน่ใจว่าเรากำลังพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยชีวิตผู้คนจากอุบัติเหตุเหล่านั้น” และว่า NTSB ได้ผลักดัน NHTSA ให้ศึกษาเทคโนโลยีการตรวจวัดแอลกอฮอล์ตั้งแต่ปี 2012 เพราะยิ่งใช้เทคโนโลยีนี้ได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งช่วยชีวิตคนได้มากเท่านั้น
นอกจากนี้ คำแนะนำดังกล่าวยังเรียกร้องให้มีการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ขับขี่ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาตั้งใจขับรถหรือมีความตื่นตัวอยู่เสมอ เธอกล่าวว่า ปัจจุบันรถยนต์จำนวนมากมีกล้องที่หันไปทางคนขับ เพื่อช่วยตรวจสอบการขับรถในขณะมึนเมาได้
อย่างไรก็ตาม Homendy บอกว่า เธอเข้าใจว่าการทดสอบระดับแอลกอฮอล์ที่สมบูรณ์แบบนั้นต้องใช้เวลา และ NHTSA เองก็ต้องใช้เวลาในการประเมินว่ามีเทคโนโลยีใดที่สามารถใช้ได้บ้าง ตลอดจนวิธีการพัฒนามาตรฐานด้วย
NHTSA หรือหน่วยงานบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติ และกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ 16 ราย สนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ตั้งแต่ปี 2008 โดยได้จัดตั้งกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า Driver Alcohol Detection System for Safety หรือการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่เพื่อความปลอดภัยนั่นเอง
Jake McCook โฆษกของกลุ่มนี้ กล่าวว่า ทางกลุ่มได้จ้างบริษัทสัญชาติสวีเดนในการวิจัยเทคโนโลยีที่จะทดสอบลมหายใจของคนขับโดยอัตโนมัติเพื่อตรวจหาแอลกอฮอล์และหยุดรถไม่ให้เคลื่อนที่หากคนขับดื่มมากเกินไป โดยที่คนขับไม่ต้องเป่าเข้าไปในท่อ แต่เซ็นเซอร์จะตรวจสอบลมหายใจของคนขับแทน
ส่วนอีกบริษัทหนึ่งก็กำลังพัฒนาเทคโนโลยีแสงที่สามารถทดสอบระดับแอลกอฮอล์ในเลือดได้จากนิ้ว โดยเทคโนโลยีที่ตรวจวัดจากลมหายใจจะพร้อมใช้ภายในสิ้นปี 2024 ในขณะที่เทคโนโลยีระบบสัมผัสจะพร้อมใช้ในอีกประมาณ 1 ปีหลังจากนั้น
McCook กล่าวว่า อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีหลังจากที่ผู้ผลิตรถยนต์ได้รับเทคโนโลยีเพื่อติดตั้งในรถรุ่นใหม่ของตน และเมื่อเทคโนโลยีพร้อมแล้ว จะต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะถูกติดตั้งในรถยนต์ส่วนใหญ่บนถนนในสหรัฐฯ
ภายใต้กฎหมายการสร้างทางหลวงใหม่ของเมื่อปีที่แล้ว รัฐสภาสหรัฐฯ กำหนดให้ NHTSA ออกคำสั่งให้ผู้ผลิตรถยนต์ติดตั้งระบบวัดแอลกอฮอล์ภายในสามปี
ทั้งนี้ กฎหมายยังไม่ได้ระบุชื่อเทคโนโลยีที่แน่นอน เพียงแต่ต้องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของคนขับเพื่อดูว่าพวกเขาได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์หรือไม่
ที่มา: เอพี
- READ MORE