ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา รอน เดอซานติส เดินหน้าความพยายามที่จะถอดสิทธิ์ของบริษัท วอลท์ ดิสนีย์ ในการปกครองพื้นที่ขนาดใหญ่ของตัวเองซึ่งเป็นที่ตั้งสวนสนุกและโรงแรมหลายแห่งมานานหลายสิบปี และแผนการนี้ก็ใกล้ประสบความสำเร็จแล้ว เมื่อสมาชิกสภาของรัฐเริ่มต้นกระบวนการอนุมัติกฎหมายใหม่ที่จะช่วยให้รัฐบาลท้องถิ่นปรับเปลี่ยนทุกอย่างตามความตั้งใจของผู้ว่าในเร็ว ๆ นี้
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในรัฐฟลอริดานี้ถูกมองว่าเป็นความต้องการของ เดอซานติส ที่จะลงโทษธุรกิจความบันเทิงยักษ์ใหญ่ซึ่งเป็นผู้จ้างงานรายใหญ่ที่สุดของรัฐนี้ในฐานะที่กล้าออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านกฎหมายใหม่ของรัฐที่ออกมาบังคับใช้เมื่อปีที่แล้วเพื่อจำกัดบทเรียนในชั้นเรียนที่เกี่ยวกับรสนิยมทางเพศ (sexual orientation) หรืออัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งมีชื่อเรียกกันทั่วไปว่าเป็นกฎหมาย Don’t Say Gay หรือ กฎหมายห้ามเรียกว่าเกย์
มีการคาดกันว่า หากรัฐฟลอริดาผ่านกฎหมายออกมาถอดสิทธิ์ของตนตามแผนของผู้ว่าฯ เดอ ซานติส บริษัทแห่งนี้น่าจะทำการฟ้องกลับ ซึ่งแปลว่า ประเด็นทะเลาะวิวาทระหว่างสองฝ่ายนี้ก็น่าจะลากยาวไปอีกนาน
ชื่อใหม่-รัฐบาล(ท้องถิ่น)ใหม่
ที่ดินที่เป็นประเด็นต่อสู้ระหว่างรัฐฟลอริดาและวอลท์ ดิสนีย์ นั้นปัจจุบันมีชื่อว่า Reedy Creek Improvement District (RCID) และครอบคลุมพื้นที่ราว 101 ตารางกิโลเมตรในออเรนจ์เคาน์ตี้และโอซีโอลาเคาน์ตี้ ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1967 ตามคำร้องของดิสนีย์ที่อ้างว่า บริษัทมีแผนจะสร้างสวนสนุกขนาดใหญ่ในบริเวณดังกล่าว
และหลังจากนั้น บริษัทแห่งนี้ก็สร้างสวนสนุกขึ้นมาถึง 4 แห่ง สวนน้ำอีก 2 แห่งและโรงแรมหลายสิบแห่ง รวมทั้งภัตตาคารและสถานที่ให้บริการความบันเทิงอีกมากมายที่สามารถดึงดูดผู้คนเป็นสิบ ๆ ล้านให้เข้ามาท่องเที่ยวพักผ่อนได้ในแต่ละปี
โครงการนี้ยังจ้างงานผู้คนถึงกว่า 75,000 ตำแหน่งด้วย
ภายใต้กฎหมายจัดตั้งเขตนี้ คณะกรรมการที่ประกอบด้วยสมาชิกที่ดิสนีย์เป็นผู้แต่งตั้งทำหน้าที่ดูแล RCID มาโดยตลอด โดยกรรมการชุดนี้มีอำนาจเหมือนกับรัฐบาลระดับเคาน์ตี้ของสหรัฐฯ ซึ่งก็คือ สามารถตั้งและจัดเก็บภาษีและบริหารงบประมาณผ่านการออกตราสารกู้ยืมได้ รวมทั้งเป็นผู้ดูแลหน่วยงานตำรวจ หน่วยดับเพลิงและหน่วยฉุกเฉิน และงานโยธาและสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น รถ ระบบไฟฟ้าและระบบกำจัดน้ำเสีย
นอกจากนั้น RCID นั้นถูกจัดตั้งมาให้ดิสนีย์ไม่ต้องถูกควบคุมโดยกฎเกณฑ์ทั้งหลายของรัฐ ซึ่งรวมถึงกฎหมายตรวจสอบอาคารและด้านที่ดินด้วย
แต่หากรัฐฟลอริดาประสบความสำเร็จในการออกฎหมายเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่ว่ามา พื้นที่นี่จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Central Florida Tourism Oversight District และคณะกรรมการดูแลก็จะถูกยกเลิก โดยจะมีคณะกรรมการชุดใหม่ที่มีสมาชิก 5 คนซึ่งผู้ว่าการรัฐจะเป็นผู้แต่งตั้ง มาทำหน้าที่แทน
ถึงกระนั้น ดิสนีย์ยังจะต้องมีความรับผิดชอบดูแลหนี้มูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ที่กู้ยืมมาผ่านการออกพันธบัตร โดยรัฐบาลรัฐและคณะกรรมการชุดใหม่ไม่ต้องมารับช่วงดูแลต่อเลย
อนาคตที่ไม่มีใครรู้
ณ จุดนี้ ยังไม่มีใครแน่ใจว่า การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองที่ดินดังกล่าวจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่ ต่อธุรกิจสวนสนุกและความบันเทิงทั้งหลายที่ตั้งอยู่ที่นี่
ริชาร์ด โฟกลีซอง ศาสตราจารย์คุณวุฒิจาก Rollins College ในรัฐฟลอริดา และเป็นผู้ประพันธ์หนังสือที่ชื่อ Married to the Mouse: Walt Disney World and Orlando บอกกับ วีโอเอ ว่า เดอซานติส และบรรดาสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาของรัฐยังไม่ได้ลงรายละเอียดในแผนการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจของดิสนีย์ โดยหลัก ๆ นั้นเป็นเพราะแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องตัวสวนสนุกเท่าใดนัก
ศาสตราจาย์โฟกลีซอง กล่าวว่า “เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นเพราะผู้ว่าฯ ต้องการลงโทษดิสนีย์ ที่กล้าออกมาต้านกฎหมาย Don’t Say Gay” และว่า “นี่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการร้องเรียนเกี่ยวกับการที่ดิสนีย์มีอำนาจ(บริหารจัดการ)พิเศษ”
ศาสตราจาย์โฟกลีซอง ชี้ด้วยว่า การที่คณะกรรมการชุดใหม่จะมาลงรายละเอียดเรื่องการบริหารจัดการสวนสนุกหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่า เดอซานติสจะแต่งตั้งขึ้นมาเป็นสมาชิกชุดนี้มากกว่า
แต่อาจารย์ท่านนี้ระบุว่า ประเด็นที่น่ากังวลเกี่ยวกับกฎหมายที่รัฐฟลอริดาพยายามผลักดันก็คือ การสั่งห้ามไม่ให้ใครก็ตามที่เคยทำงานในอุตสาหกรรมสวนสนุกหรืออุตสาหกรรมบันเทิงในช่วง 3 ปีก่อนหน้าที่กฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้ เข้ามาเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ เพราะนั่นนำมาซึ่งคำถามว่า คณะกรรมการนี้จะมีความรู้ความสามารถในการดูแลธุรกิจสวนสนุกหรือไม่ และว่า รัฐบาลฟลอริดาจะตั้งจทำสงครามกับดิสนีย์ต่อไปด้วยหรือไม่
สงคราม “รู้ตื่น”
ขณะที่ หลายฝ่ายคาดว่า เดอซานติส จะลงสมัครเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2024 ซึ่งอาจต้องเผชิญหน้ากับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สิ่งที่ผู้ว่าการรัฐฟลอริดาเดินหน้าจัดการกับดิสนีย์คือ ตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่เขาต้องการต่อสู้ และนั่นก็คือ “อุดมการณ์รู้ตื่น” (woke ideology) ซึ่งแม้ยังไม่มีใครให้คำจำกัดความชัดเจน เดอซานติส เลือกใช้คำ ๆ นี้ เพื่อโจมตีโครงการด้านการศึกษาใด ๆ ก็ตามที่พยายามผลักดันให้มีการยอมรับผู้คนที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) และโจมตีผู้ใดก็ตามที่สอนเรื่องการเหยียดเชื้อชาติที่ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมอเมริกัน
เดอซานติสกล่าวหากลุ่มที่สอนเรื่องการเหยียดเชื้อชาติว่า พยายามทำให้คนรุ่นใหม่ “เกลียดอเมริกา” และพยายามบีบนักเรียนที่เป็นคนผิวขาวให้รู้สึกผิดต่อความผิดพลาดในอดีต เช่น ประเด็นทาส
ที่ผ่านมา กลุ่มผู้สนับสนุนเดอซานติสออกโรงสนับสนุนแผนการจัดการกับดิสนีย์อย่างเต็มที่ แม้ผู้ที่มีแนวคิดก้าวหน้ามองประเด็นที่อ้างว่าเกี่ยวกับ “อุดมการณ์รู้ตื่น” ว่าเป็นแผนการของกลุ่มหัวอนุรักษ์นิยมเพื่อหาประโยชน์ทางการเมืองก็ตาม
ในเรื่องนี้ เจฟฟ์ วาห์ลีย์ ประธานบริษัท วอลท์ ดิสนีย์ ออกแถลงการณ์ที่ส่งให้กับสื่อต่าง ๆ ที่ระบุว่า “เรากำลังจับตาดูความเป็นไปของร่างกฎหมายนี้ที่มีความซับซ้อน เนื่องจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของ Reedy Creek Improvement District” และว่า “ดิสนีย์ทำธุรกิจภายใต้รูปแบบและกฎหมายที่บังคับใช้ทั่วโลก และไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เรายังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอประสบการณ์คุณภาพสูงที่สุดให้กับแขกนับล้าน ๆ คนที่มาเยือนในแต่ละปีต่อไป”
ที่มา: วีโอเอ
- READ MORE