การเกาสายแบบ Travis Picking

การเกาสายแบบ Travis Picking

เมื่อพูดถึงการเล่นกีตาร์สไตล์นิ้วหรือการเกากีตาร์ (ไม่ใช่เกาแกรก ๆ แบบคันนะครับ) ด้วยนิ้วของเรา ต้องบอกเลยว่ารูปแบบที่มีอิทธิพลมากที่สุดรูปแบบหนึ่งนั้นได้รับมาจากสไตล์การเล่นเกาสายของ Merle Travis ซึ่งในปัจจุบันเทคนิคการเกาสายแบบนี้ยังคงปรากฎให้เห็นในเพลงของศิลปินหลาย ๆ คนต่างแนวกันไป เช่น Leo Kottke ,Jerry Reed หรือเซียนกีตาร์อย่าง Chet Atkins และ Doc Watson นอกจากนี้ในวงดนตรีประเภทโฟล์คร็อคอย่าง Fleetwood Mac ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลจากสไตล์การเล่นกีตาร์ของ Merle ทั้งสิ้น เรามารู้จักประวัติและศึกษาเทคนิคของเขากันดีกว่าว่าเป็นยังไงถึงได้มีอิทธิพลต่อการเล่นกีตาร์นัก

Merle Travis เกิดในปี 1917 ที่เหมืองถ่านหินชื่อ Rosewood ใน Kentucky เขาไม่เคยได้เรียนดนตรีเป็นเรื่องเป็นราวเท่าใด แต่ในช่วงที่เขาเริ่มเล่นดนตรีนั้น เขาได้รับเอาการเล่นกีตาร์ด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของนักกีตาร์ท้องถิ่น 2 คน คือ Mose Rager และ Ike Everly คนหลังนี้เป็นพ่อของ Don และ Phil Everly แห่งวง The Everly Brothers ที่โด่งดังในยุค 50-60

เมื่อย่างเข้าอายุ 20 เขาย้ายไปโอไฮโอ และได้ร่วมเล่นดนตรีกับหลาย ๆ คณะ หลาย ๆ วง จนต่อมาจึงได้มาเป็นนักกีตาร์เดี่ยวกับสถานีวิทยุ WLW ในซินซินาติ และที่นั่นเอง Chet Atkins ซึ่งยังเป็นเด็กวัยรุ่น ได้ฟัง Travis เล่นกีตาร์เป็นครั้งแรกจากรายการจาก WLW ในซินซินาติ ต่อมาเขาได้พบและร่วมวงกับนักแบนโจชื่อ Granpa Jones และนักดนตรีอีก 2 คนคือ Alton และ Rabon Delmore พวกเขาได้ตั้งวงดนตรีชื่อ Brown’s Ferry Four ในช่วงนั้นเขาได้ออกเล่นดนตรีในชื่อต่าง ๆ และเล่นดนตรีทุกแบบตั้งแต่ Gospel (รู้สึกว่าจะเป็นเพลงทางศาสนาคริสต์) จนกระทั่งดนตรีแบบบลูส์กราส (Blue Grass) และด้วยการสร้างสรรค์ของ Bill Monroe เขาก็ได้อัดแผ่นเสียงให้กับ King Record ในนามของ The Sheppard Brothers ก่อนที่จะไปเป็นทหารเรือร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาได้อัดเพลงแรกของเขาชื่อ When Musolini Laid His Piston Downtravis01.jpg (13897 bytes)

และเขาได้ออกจากกองทัพเรือเมื่อ 1944 และเริ่มกลับมาสู่อาชีพนักดนตรีใหม่ เขาไปยังลอสแองเจลลิส ซึ่งเขาได้เริ่มรับจ้างทำเพลงให้กับภาพยนต์ตะวันตก และเล่นดนตรีให้ศิลปินแนว western (หรือเพลงคาวบอย) หลายคนรวมทั้ง Gene Aury เจ้าของฉายาคาวบอยนักร้องขนานแท้ในยุคนั้น ก่อนที่จะเซ็นต์สัญญากับ Capital ในปี 1946 ในฐานะศิลปินเดี่ยว

ในไม่นานนั้นเองเขาก็เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะนักกีตาร์ห้องอัดและนักแต่งเพลงให้กับศิลปินคันทรีทุกคนของ capital และ Tex Ritter อัดเพลงของ Travis ชื่อ Smoke Smoke That Cigarette ซึ่งเป็นแผ่นที่ขายได้เกินล้านแผ่นแรกของบริษัท และในปลายทศวรรษ 40 นี้เองเขาก็ได้กลายเป็น นักร้อง นักกีตาร์และนักแต่งเพลงแนวคันทรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศ

ในช่วง 20 ต่อมาก็เป็นยุคเฟื่องฟูที่สุดของเขาในอาชีพการแสดง นอกจากแต่งเพลง อัดแผ่นเสียงแล้ว เขายังได้ออกแบบกีตาร์ไฟฟ้าต้นแบบ และช่วยพัฒนาที่สั่นสาย(หรือคล้าย ๆ กับคันโยกนั่นเอง)แบบ Bigsby และเขายังได้ร่วมแสดงภาพยนต์ในเรื่อง From Here To Eternity โดยร้องเพลง Reenlisment Blues การแสดงของเขาที่ Carnigie Hall ในปี 1962 และที่ Smithsonian Institution’s Festival Of American Folklife ยังสร้างชื่อเสียงให้เขามากขึ้น ในปี 1977 เขาก็ได้ถูกนำชื่อเข้าไว้ในทำเนียบเกีรติยศ (Hall Of Frame)ของดนตรีคันทรี

ช่วงสุดท้ายของชีวิต เขาไปเล่นดนตรีอยู่ใน แนชวิลล์ ในปี 1966 ซึ่งเขายังคงคุณภาพในการแสดงและตารางอัดแผ่นเสียงที่แน่นเอียด จนกระทั่งเขาเสียชีวิต เมื่อ ตุลาคม 1983 ซึ่งจากคำบอกเล่าของภรรยาเขาปรากฎว่าเขาได้ทิ้งผลงานที่อัดใหม่ ๆ ไว้มากมายพอจะออกได้อีกหลายอัลบั้ม

Author: admin